เศรษฐกิจ • ธุรกิจ • การลงทุน
เศรษฐกิจไทยปี 2568: ท่ามกลางความไม่แน่นอนโลกและนโยบายการเงินที่ต้องจับตา
บทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยบวกและความท้าทายที่สำคัญ ทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าโลก นโยบายการเงินที่ต้องปรับตัว และการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางการคาดการณ์ GDP ที่หลากหลายและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ.
เศรษฐกิจไทยปี 2568: ท่ามกลางความไม่แน่นอนโลกและนโยบายการเงินที่ต้องจับตา
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับปัจจัยแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากบริบทเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และทิศทางนโยบายการเงินที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการเติบโตในประเทศ ในขณะที่การบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ภาพรวมเศรษฐกิจไทย: การคาดการณ์ GDP ที่หลากหลาย
สถาบันการเงินและหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายแห่งได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2568 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความกังวลต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ และความผันผวนของนโยบายภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย
- World Bank ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 ลงเหลือ 1.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.9% โดยให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการค้า เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ [2, 4]
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ได้ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 ลงเช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลในทิศทางเดียวกัน [2]
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) คาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 ไว้ที่ 2.4% โดยระบุว่าปัจจัยลบจากเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงจากสงครามการค้าอาจทำให้การเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ [7]
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง คาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 อยู่ที่ 2.1% โดยปัจจัยหลักมาจากแรงกดดันทางการค้าโลกและภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว [13]
- Standard Chartered Bank (Thailand) ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 ลงเหลือ 2% จาก 2.4% โดยอ้างอิงถึงความไม่แน่นอนทางการค้าระดับโลก การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน การบริโภคที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ [22]
อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองที่แตกต่างออกไป เช่น Krungsri Research ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 2.9% ในปี 2568 โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่กลับสู่ภาวะปกติ และการลงทุนที่เริ่มเป็นบวก [3]
นโยบายการเงิน: การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ โดยได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหลายครั้ง
- เดือนเมษายน 2568: ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท่ามกลางผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ [5, 12]
- เดือนมิถุนายน 2568: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 6-1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% โดยให้เหตุผลว่าต้องการหาจังหวะที่เหมาะสมในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและพื้นที่ในการดำเนินนโยบายที่จำกัด [6, 12, 19]
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา คือ ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่อาจมีความเห็นแตกต่างกันในการประชุมครั้งล่าสุด สะท้อนถึงความท้าทายในการตัดสินใจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่หลากหลาย [19] ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2568 ก็เป็นที่จับตาว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่เข้มข้นขึ้นหรือไม่ [20]
ปัจจัยขับเคลื่อนและปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยบวก:
- การบริโภคภาคเอกชน: คาดว่าจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ [11, 24]
- ภาคการท่องเที่ยว: มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดได้ในช่วงกลางปี 2568 [3, 24]
- การใช้จ่ายภาครัฐ: การเบิกจ่ายงบประมาณที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติจะช่วยเป็นแรงส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ [3]
ปัจจัยลบ:
- สงครามการค้าและนโยบายภาษี: ความไม่แน่นอนทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยกดดันภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม [2, 4, 9, 11]
- ภาวะเงินฝืด: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำและติดลบต่อเนื่องในบางเดือน ซึ่งอาจส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ [10, 16, 23]
- หนี้ภาคครัวเรือน: ระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการบริโภคและการลงทุนในระยะยาว [20, 21]
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก: ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการส่งออกของประเทศคู่ค้าหลักของไทย [2, 9]
บทสรุป
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเป็นปีแห่งการปรับตัวท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะผลกระทบของนโยบายการค้าโลกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเป็นกุญแจสำคัญในการประคับประคองการเติบโต และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ แต่การบริหารจัดการความเสี่ยงจากหนี้ภาคครัวเรือนและปัจจัยภายนอกอื่นๆ จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้ประกอบการในปีที่กำลังจะมาถึง