AI และ Digital Transformation: กุญแจสำคัญสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568

AI และ Digital Transformation: กุญแจสำคัญสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568

บทวิเคราะห์เจาะลึกถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs พร้อมชี้โอกาสและความท้าทายที่สำคัญ

AI และ Digital Transformation: กุญแจสำคัญสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568


เศรษฐกิจไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) มาปรับใช้ในภาคธุรกิจอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย [3, 10]. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับโลก [12, 14].

การประยุกต์ใช้ AI และ Digital Transformation ในภาคธุรกิจไทย


AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต การค้าปลีก และภาคการเงิน [2]. ในภาคการผลิต AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับกระบวนการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น [2]. สำหรับภาคการค้าปลีก การใช้ AI ในรูปแบบของแชทบอทและระบบแนะนำสินค้า จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) จะช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถคาดการณ์ความต้องการ จัดการสินค้าคงคลัง และนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น [2]. ในภาคการเงิน AI จะถูกนำมาใช้ในการยกระดับความปลอดภัย เช่น ระบบการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (eKYC) และการตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เฉพาะบุคคลมากขึ้น [2, 7].

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ SMEs ไทย [12]. จากการสำรวจพบว่า SMEs ไทยจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานเข้าสู่ระบบออนไลน์แล้ว และมองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว [12]. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) หรือโซลูชันด้านการขายและการตลาด ได้ช่วยให้ SMEs ไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก [12].

โอกาสและนโยบายภาครัฐ


รัฐบาลไทยมีนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันประเทศสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2570 [2]. มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร และโครงการ AI ขนาดใหญ่ เช่น Thai Large Language Model (ThaiLLM) [2]. นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย "MHESI for AI" ที่มุ่งเสริมสร้างความรู้ด้าน AI ให้กับประชาชนอย่างน้อย 600,000 คนภายในปี 2568 [2]. การส่งเสริมการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs จะช่วยเพิ่มผลิตภาพและขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP [3]. หาก SMEs สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะช่วยเพิ่ม GDP ได้กว่า 2% ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ถึง 10% [3].

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา SMEs ภายใต้กลไก "4 GO" ซึ่งประกอบด้วย GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global, และ GO Green เพื่อยกระดับ SMEs สู่ "Smart SMEs" และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน [14]. ภาครัฐได้เตรียมพร้อมที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรม และพร้อมที่จะแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา SMEs เพื่อเปิดโอกาสให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น [14].

ความท้าทายที่ต้องจับตามอง

แม้ว่าแนวโน้มการนำ AI และ Digital Transformation มาใช้จะสดใส แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการในปี 2568 [4]. ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ความไม่แน่นอนของนโยบายการลงทุน [4]. นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย [13] และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในระดับโลก โดยเฉพาะจากประเทศจีน [4, 13] อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย [4].

ในส่วนของ SMEs แม้จะมีการปรับตัวด้านดิจิทัล แต่ยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนความรู้ การขาดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และทักษะที่ไม่เพียงพอ [7, 10]. การสร้างความตระหนักรู้ การพัฒนาทักษะ และการสนับสนุนทางการเงินที่ตรงจุด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของ SMEs ไทย [3, 7].

แนวโน้มในไตรมาสถัดไป: คาดว่าการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลของภาคธุรกิจไทยจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในภาคส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น [15]. ภาครัฐจะเร่งผลักดันนโยบายและกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการนำไปใช้ในวงกว้าง [11].

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง: ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน [4, 13], และการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัย ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด [4, 13].