เศรษฐกิจไทยปี 2568: เผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ

เศรษฐกิจไทยปี 2568: เผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ

บทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยมีปัจจัยกดดันหลักจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง แม้การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อน แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

เศรษฐกิจไทยปี 2568: การเติบโตที่เปราะบาง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งภายในและภายนอก


เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เผชิญกับสภาวะที่ซับซ้อนและมีความเปราะบางสูง โดยมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประกอบกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั้งภายในประเทศและปัจจัยภายนอก ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความน่ากังวลมากขึ้น

การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ:

การคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2568 อยู่ในกรอบที่ค่อนข้างต่ำ โดยสถาบันวิจัยหลายแห่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากปี 2567 โดยมีตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.4% ถึง 2.8% [4, 9, 11, 14] อย่างไรก็ตาม มีการปรับลดประมาณการลงจากเดิม เนื่องจากปัจจัยลบที่ประดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง [10, 15]

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ:

  • การบริโภคภาคเอกชน: ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะการจ้างงานที่ดี [13] แม้จะมีความกังวลเรื่องภาระหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง [3]
  • การท่องเที่ยว: คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 [11] โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 39.4 ล้านคนในปี 2568 [9] อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังคงมีสัญญาณที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ [8, 9]
  • การลงทุนภาครัฐ: คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้น [6] และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เร่งตัวขึ้น [7] จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต

ปัจจัยกดดันและความเสี่ยง:

  • นโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐอเมริกา (Tariff Uncertainty): เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ [4, 8, 10, 12] หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีที่เข้มงวดขึ้น อาจส่งผลให้การส่งออกของไทยชะลอตัวลงอย่างมาก และกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ [12] โดยมีประมาณการว่าหากภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐฯ สูงขึ้นเกิน 10% อาจทำให้ GDP ไทยหดตัว [12] และหากประเทศไทยไม่สามารถเจรจาลดหย่อนภาษีได้ตามที่คู่แข่งสำคัญ จะทำให้ GDP ไทยในปี 2566 ชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.1% และร่วงลงไปถึง 0.4% ในปี 2567 [8]
  • เศรษฐกิจโลกชะลอตัว: การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 คาดว่าจะชะลอตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า [4] ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจและกลยุทธ์การลงทุน [4]
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ: ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาลไทยอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐล่าช้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโมเมนตัมเศรษฐกิจภายในประเทศ [6, 15]
  • ภาระหนี้สินครัวเรือน: ภาระหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจ [3]
  • การชะลอตัวของภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรม: แม้จะมีการฟื้นตัวตามการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ภาคการผลิตยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากระดับสินค้าคงคลังที่สูงและความต้องการในประเทศที่อ่อนแอ [9]

แนวโน้มในไตรมาสถัดไป:

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสถัดไปมีแนวโน้มที่จะยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยกดดันที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 [10] การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจได้รับแรงหนุนจากมาตรการส่งเสริม แต่ยังคงต้องจับตาการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากจีน [9] ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก แต่ก็อาจชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง:

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ: การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย หรือการเจรจาข้อตกลงทางการค้าที่ล้มเหลว อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวม
  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: ความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ ของโลก อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและกระทบต่อการผลิต
  • เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ: ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากขึ้น
  • การบริหารจัดการหนี้สาธารณะ: หากการขาดดุลงบประมาณยังคงอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว

เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จึงเป็นปีแห่งการบริหารจัดการความเสี่ยงและความไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกและนโยบายที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อประคับประคองการเติบโตและบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น