ผลกระทบของ “Higher for Longer” ต่อเศรษฐกิจไทย: การวิเคราะห์เชิงลึกนโยบายอัตราดอกเบี้ยโลก

ผลกระทบของ “Higher for Longer” ต่อเศรษฐกิจไทย: การวิเคราะห์เชิงลึกนโยบายอัตราดอกเบี้ยโลก

บทวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบจากการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ("Higher for Longer") ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของตลาดการเงิน ภาคธุรกิจ หนี้ครัวเรือน และแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคในไตรมาสถัดไป พร้อมชี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาจากมุมมองของเศรษฐศาสตร์มหภาค.

ผลกระทบของ “Higher for Longer” ต่อเศรษฐกิจไทย: การวิเคราะห์เชิงลึกนโยบายอัตราดอกเบี้ยโลก


โดย: เศรษฐศาสตร์มหภาค

ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยยืนกรานที่จะคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานขึ้น หรือที่เรียกว่า "Higher for Longer" เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ [1] นโยบายดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กที่เปิดกว้างและพึ่งพาการค้าโลกสูง.

บริบทอัตราดอกเบี้ยโลกและนโยบาย Fed


การตัดสินใจของ Fed ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงฝังแน่น โดยเฉพาะในภาคบริการและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่งเกินคาด [1] การดำเนินนโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อฉุดรั้งอุปสงค์และลดแรงกดดันเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ 2% ผลพวงที่ตามมาคือการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกให้ไหลกลับเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้ประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออก และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน [2].

ผลกระทบต่อตลาดการเงินไทย


การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งในด้านหนึ่งอาจเป็นผลดีต่อภาคการส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวในรูปเงินบาท แต่อีกด้านหนึ่งก็เพิ่มภาระต้นทุนการนำเข้าและหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน [3] ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก แม้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามทิศทางโลก แต่ก็ยังคงความสมดุลเพื่อไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและภาระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ [4].

ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง


  • ภาคธุรกิจ: ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและอาจมีภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนขยายกิจการและการบริหารสภาพคล่อง [5].
  • ภาคครัวเรือน: ภาระหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้วยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การผ่อนชำระหนี้ที่สูงขึ้นจะลดกำลังซื้อของประชาชน และส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ [6].
  • การส่งออก: แม้เงินบาทที่อ่อนค่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอันเป็นผลมาจากนโยบายดอกเบี้ยสูงทั่วโลก ก็ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการลดลง ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทย [4].
  • การท่องเที่ยว: แม้ภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในประเทศของตน ทำให้การใช้จ่ายต่อหัวลดลง [5].

แนวโน้มในไตรมาสถัดไป


คาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อรอสัญญาณที่ชัดเจนของเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ ธปท. ต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน [3] การส่งออกของไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว แต่การบริโภคภายในประเทศที่ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบางส่วน จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโต.

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง


  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์: เหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น สามารถส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ [2].
  • ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์: โดยเฉพาะราคาน้ำมันและอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ [1].
  • การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน: ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ [4].
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย: หากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น อาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน [6].
  • ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก: หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรงกว่าคาดการณ์ จะส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนโดยตรง.