เศรษฐกิจ • การลงทุน
ความท้าทายในการประสานนโยบาย: บทวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยนโยบายการเงินและการคลังของไทย
บทความนี้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจไทย โดยเจาะลึกความสัมพันธ์และความท้าทายในการประสานนโยบายระหว่างนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และนโยบายการคลังของรัฐบาล พร้อมทั้งประเมินผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพโดยรวมของประเทศ
ความท้าทายในการประสานนโยบาย: บทวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยนโยบายการเงินและการคลังของไทย
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและแรงขับเคลื่อนภายในประเทศที่ยังไม่เต็มที่ ในสถานการณ์เช่นนี้ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานงานระหว่างนโยบายการเงินที่ดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนโยบายการคลังที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันปรากฏแนวคิดและทิศทางที่แตกต่างกันพอสมควร บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงพลวัตและผลกระทบของการดำเนินนโยบายทั้งสองต่อเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยืนหยัดในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา [1] การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองของ ธปท. ที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ธปท. มองว่าแรงกดดันเงินเฟ้อในปัจจุบันยังคงต่ำ แต่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากปัจจัยด้านอุปทานและฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของ ธปท. ยังคงชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยมีภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก [1] การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันจึงเป็นการสร้างกันชนทางการเงิน (policy space) และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในอนาคต
นโยบายการคลังของรัฐบาล
ในทางกลับกัน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในระดับรากหญ้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มุ่งเน้นการเพิ่มกำลังซื้อและเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจและประชาชน [2] รัฐบาลมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไปอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนภาคเอกชน จึงได้ส่งสัญญาณถึงความต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินการอยู่
ความแตกต่างและผลกระทบต่อเสถียรภาพ
ความแตกต่างทางแนวคิดระหว่างนโยบายการเงินและการคลังนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการประสานนโยบาย (policy coordination) ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพ
- วัตถุประสงค์ที่ต่างกัน: ธปท. ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและเงินเฟ้อระยะยาว ในขณะที่รัฐบาลมุ่งเน้นการกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น
- ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ: หากนโยบายการคลังกระตุ้นอุปสงค์ได้อย่างรวดเร็วและมากเกินไป ในขณะที่นโยบายการเงินยังคงเข้มงวด อาจนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ ธปท. ต้องเผชิญกับทางเลือกว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา หรือจะปรับลดเพื่อสนับสนุนการเติบโต [3]
- ภาระหนี้สาธารณะ: การดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวขนาดใหญ่ อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการคลังของประเทศในระยะยาว
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: การที่นโยบายเศรษฐกิจมหภาคขาดความชัดเจนหรือมีทิศทางที่ขัดแย้งกัน อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะชะลอการตัดสินใจลงทุนและส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แนวโน้มในไตรมาสถัดไป
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสถัดไปจะยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม การส่งออกยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ [3] อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยตามการคลายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐและผลจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปีก่อนหน้า [1] การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยภาคเอกชนยังคงระมัดระวังการลงทุน
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง
1. ภาวะเศรษฐกิจโลก: การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีนและสหภาพยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย [3]
2. ความผันผวนของราคาพลังงานและอาหาร: หากราคาพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง หรือเกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร อาจส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
3. ความเสี่ยงด้านการคลัง: การใช้จ่ายภาครัฐในระดับสูงโดยที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นอย่างสมดุล อาจทำให้ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อกรอบความยั่งยืนทางการคลัง [4]
4. ความชัดเจนในการประสานนโยบาย: การขาดความเข้าใจร่วมกันและการประสานงานที่ไร้ประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานผู้กำหนดนโยบายการเงินและการคลัง อาจสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของทุกภาคส่วนในระยะยาว