AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: โอกาสและการลงทุนในยุคดิจิทัล 2025

AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: โอกาสและการลงทุนในยุคดิจิทัล 2025

รายงานเจาะลึกถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในปี 2568 พร้อมวิเคราะห์โอกาสการลงทุนสำหรับธุรกิจ SME และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการปรับตัวของภาครัฐในการผลักดันนโยบาย "AI-first" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน.

AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: โอกาสและการลงทุนในยุคดิจิทัล 2025


ในภาพรวม ปี 2568 ถือเป็นปีสำคัญที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างแข็งแกร่งในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันการเติบโตผ่านภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ รายงานล่าสุดจาก Microsoft Thailand ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยจะต้องก้าวสู่การเป็น "AI-first country" เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงวัย การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน [13].

โอกาสและการลงทุนสำหรับ SME และภาคอุตสาหกรรม


AI มีศักยภาพในการพลิกโฉมภาคธุรกิจไทยในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากการศึกษาของ Boston Consulting Group (BCG) พบว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "Gradual Practitioners" ในด้านการนำ AI มาใช้ ซึ่งยังคงตามหลังผู้นำระดับโลกอย่างแคนาดา จีน สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา [13]. อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาปรับใช้ คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เพิ่มขึ้นถึง 3.7 เท่าสำหรับ SME และช่วยผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตได้มากกว่า 2% [13].

การประยุกต์ใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ:

  • การท่องเที่ยว: AI สามารถยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวผ่าน Chatbot สำหรับบริการลูกค้า, ระบบแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอัจฉริยะ, และระบบจัดการโรงแรมอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินงาน [13].
  • ภาคการผลิต: AI ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, การควบคุมคุณภาพ, และการสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น [15].
  • การเกษตร: การใช้ AI ในการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดการใช้ทรัพยากร [15].
  • การบริการ: Generative AI สามารถสร้างเนื้อหา, ปรับปรุงการสื่อสารกับลูกค้า, และเสริมสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล เพิ่มความภักดีของลูกค้า [4, 11, 23, 25].

นโยบายภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI


รัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดันการนำ AI มาใช้ โดยมีเสาหลักเชิงกลยุทธ์ 3 ประการ คือ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI, การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, และการเร่งรัดการนำ AI ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมหลัก [24]. มีเป้าหมายในการฝึกอบรมผู้ใช้งาน AI จำนวน 10 ล้านคน, ผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน, และนักพัฒนา 50,000 คน ภายในสองปี [15]. นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในระบบคลาวด์, ศูนย์ข้อมูล (Data Centers), และแพลตฟอร์ม AI แบบ Open-source เพื่อรองรับการใช้งานที่ขยายตัว [24].

ความท้าทายและภูมิทัศน์กฎหมาย AI


แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การนำ AI มาใช้ก็มาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ ทั้งเรื่องการจัดการข้อมูล, การควบคุมความเสี่ยง, ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น, และคุณค่าทางธุรกิจที่ยังไม่ชัดเจน [21]. ในระดับสากล ภูมิทัศน์ของกฎหมาย AI ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว [5]. สหภาพยุโรปได้ประกาศใช้ EU AI Act ซึ่งเป็นกรอบกฎหมาย AI ที่ครอบคลุมฉบับแรกของโลก [2, 5], ขณะที่สหรัฐอเมริกายังคงมีการพัฒนากฎหมายในระดับรัฐต่างๆ อย่างต่อเนื่อง [2, 3]. สำหรับประเทศไทย การวางกรอบกำกับดูแลด้านจริยธรรม AI และความปลอดภัยของระบบ AI เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด [15].

โอกาสการลงทุนใน AI

สำหรับนักลงทุน การมองหาบริษัทที่ใช้ AI เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มี "Data Moats" ที่แข็งแกร่ง (เช่น NVIDIA) และกองทุน Hedge Fund ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Hedge Funds) ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ [19]. การลงทุนใน AI ที่คำนึงถึงความยั่งยืน (Sustainable AI) ก็เป็นอีกแนวโน้มที่กำลังมาแรง โดย AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ESG, ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, และปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน [20].

โดยสรุป การยอมรับและนำ AI มาปรับใช้อย่างรวดเร็วและมีกลยุทธ์ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน, สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน, และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลในปี 2568 และปีต่อๆ ไป.