AI • ธุรกิจ • เศรษฐกิจ
AI ขับเคลื่อน SME ไทย: 40% พร้อมรับยุคใหม่ เพิ่มขีดความสามารถ พลิกโฉมธุรกิจสู่ความยั่งยืน
รายงานพิเศษเปิดเผยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของ SMEs ไทย (40.4%) ได้เริ่มนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันแล้ว ขณะที่อีกส่วนหนึ่งกำลังวางแผนลงทุนด้านนี้อย่างจริงจัง สอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 และแผนพัฒนา AI แห่งชาติ ที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ก้าวหน้าสู่การเป็นศูนย์กลาง AI ในภูมิภาคอาเซียน ท่ามกลางความท้าทายด้านบุคลากรและเงินทุน รัฐบาลและภาคเอกชนพร้อมหนุน SMEs เต็มที่.
SME ไทย กับก้าวต่อไปในยุค AI: 40% พร้อมแล้ว! 🚀
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย ล่าสุด มีรายงานที่น่าสนใจว่า เกือบครึ่งหนึ่งของ SMEs ไทย หรือราว 40.4% ได้เริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาปรับใช้ในธุรกิจแล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกธุรกิจ [4]. ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งกำลังวางแผนลงทุนใน AI อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ AI มอบให้
ปัจจัยขับเคลื่อน: นโยบายรัฐ และความพร้อมของ SMEs
การผลักดัน AI ในภาคธุรกิจไทยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ Thailand 4.0 และแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ (National AI Action Plan) ที่มีเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลาง AI ในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2027 [6, 10]. รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนหลากหลาย ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล, การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา, การพัฒนาบุคลากร, และการสร้างกรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรม [2, 6]. นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา SMEs และมีธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ที่พร้อมสนับสนุนด้านการเงินแก่ SMEs ที่ต้องการปรับปรุงการดำเนินงาน [3]
AI เปลี่ยนโฉมธุรกิจ SME อย่างไร?
AI ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทใหญ่ๆ อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ SMEs สามารถ:
- เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: AI ช่วยในการทำงานซ้ำๆ ที่ใช้เวลานานและอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย เช่น การจัดการข้อมูล, การตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้นผ่าน Chatbot, หรือแม้กระทั่งการช่วยเขียนโค้ดและพัฒนาซอฟต์แวร์ [3, 4, 5].
- ยกระดับการบริการลูกค้า: การใช้ AI Chatbot หรือ Virtual Assistant ช่วยให้สามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตลอด 24 ชั่วโมง [5]. นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงใจ (Personalization) ได้ดียิ่งขึ้น [5, 9].
- ลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไร: การใช้ AI ในกระบวนการต่างๆ เช่น การจัดการคลังสินค้า, การปรับปรุงเส้นทางการขนส่ง, หรือการคาดการณ์ความต้องการของตลาด สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลกำไร [3, 5].
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: AI ช่วยให้ SMEs สามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ดีขึ้น โดยการทำงานที่ชาญฉลาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น [2].
ความท้าทายและโอกาส: บุคลากรและเงินทุน
แม้ว่า SMEs ไทยจะตระหนักถึงความสำคัญของ AI แต่ก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลักๆ คือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI และ ข้อจำกัดด้านงบประมาณในการลงทุน [2, 4, 8]. อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้กำลังได้รับการแก้ไขด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน Microsoft Thailand เอง ก็มีแผนที่จะฝึกอบรมบุคลากรไทยให้มีความรู้ด้าน AI มากถึง 1 ล้านคน [3]. นอกจากนี้ การที่โมเดลภาษาขนาดเล็ก (Small Language Models - SLMs) และแพลตฟอร์ม AI แบบ Open-source มีราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคให้ SMEs สามารถนำ AI มาใช้งานได้ [5].
ก้าวต่อไป: ปรับ Mindset สู่การเติบโต
ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า การปรับเปลี่ยน Mindset ของผู้ประกอบการคือหัวใจสำคัญในการนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด [7, 8]. SMEs ควรเริ่มต้นจากการระบุว่าฟังก์ชันใดในธุรกิจที่ AI สามารถเข้ามาช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ [4]. การลงทุนในระบบการจัดการข้อมูลที่ดี และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย [4].
โดยสรุปแล้ว การที่ SMEs ไทยกว่า 40% พร้อมเปิดรับ AI ถือเป็นสัญญาณที่ดี บ่งชี้ถึงศักยภาพในการเติบโตและปรับตัวของภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ทั้งด้านความรู้ การเงิน และโครงสร้างพื้นฐาน ก็จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งในยุคดิจิทัลนี้ได้อย่างแน่นอนครับ