AI • ธุรกิจ • เศรษฐกิจ
Thailand's AI Ascent: How Businesses Can Harness Generative AI for Unprecedented Growth in 2025
Thailand is rapidly embracing AI, with projections indicating a significant boost to its economy. This article delves into the transformative power of Generative AI (GenAI) for Thai businesses in 2025, highlighting key trends, government initiatives, and strategies for SMEs to leverage this technology for competitive advantage and sustainable growth.
Thailand's AI Surge: Navigating the Generative AI Revolution in 2025
Author: The Data Detective
Specialty: Business
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง และประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคทองของ AI อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 นี้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดย Generative AI (GenAI) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ข้อความ รูปภาพ ไปจนถึงโค้ดโปรแกรม.
ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของ AI ในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าตลาด AI ของไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 114,000 ล้านบาทในปี 2030 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 28.55% [3]. รายงานจาก Google ยังคาดการณ์ว่า AI จะสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจในไทยได้ถึง 2.6 ล้านล้านบาทภายในปี 2030 [20].
เทรนด์ GenAI ที่ธุรกิจไทยต้องจับตาในปี 2025
ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น ธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวและนำ AI มาใช้เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต โดยเทรนด์ GenAI ที่น่าจับตามองในปี 2025 ได้แก่:
1. GenAI ที่ตอบสนองเฉพาะบุคคล (Hyper-Personalized GenAI): AI จะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างไร้ที่ติ ตั้งแต่การแนะนำสินค้าไปจนถึงการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง [5].
2. AI ในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจ (AI as Business Consultants): เราจะได้เห็น AI ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจเต็มรูปแบบ สามารถวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของธุรกิจ และเสนอแนะกลยุทธ์เพื่อการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ [5].
3. การพัฒนาโค้ดและ Low-code/No-code ด้วย AI (AI-Generated Code & No-Code AI Development): AI จะเข้ามาช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้น [5].
4. AI ที่ทำงานได้เอง (Agentic AI): AI ที่สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างอิสระโดยมีการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยที่สุด จะกลายเป็นจริงในปี 2025 โดย AI จะเข้ามาช่วยจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อน เช่น การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การดำเนินงานทางการเงิน และการบริการลูกค้า [7, 8].
5. AI ข้ามแพลตฟอร์ม (Multimodal AI): AI ที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ จะช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความแม่นยำและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น [6, 8].
ยุทธศาสตร์ภาครัฐ: ขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลาง AI อาเซียน
รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของ AI และได้วางยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง AI แห่งภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2027 [2, 10]. มาตรการสำคัญที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ได้แก่:
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: การลงทุนในระบบคลาวด์, ศูนย์ข้อมูล, ระบบประมวลผล GPU และการพัฒนาแพลตฟอร์ม AI แบบ Open-source เพื่อให้การเข้าถึงเทคโนโลยี AI เป็นไปอย่างกว้างขวางและมีต้นทุนที่จับต้องได้ [10, 14, 16].
- การพัฒนาบุคลากร AI: ตั้งเป้าฝึกอบรมผู้ใช้งาน AI จำนวน 10 ล้านคน, ผู้เชี่ยวชาญ AI 90,000 คน และนักพัฒนา AI 50,000 คน ภายในสองปีข้างหน้า [16]. นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย “MHESI for AI” ที่มุ่งหวังให้คนไทยอย่างน้อย 600,000 คน มีความรู้ด้าน AI ภายในปี 2025 [2].
- การสร้างฐานข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bank): เพื่อรวบรวมชุดข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับการพัฒนา AI ในภาคส่วนต่างๆ [10, 16].
SMEs ไทย: โอกาสและความท้าทายในการนำ AI มาใช้
แม้ว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายในการนำ AI มาปรับใช้ [12, 13, 18]. ข้อมูลล่าสุดระบุว่าราว 40.4% ของ SMEs ไทย ได้เริ่มนำ AI มาใช้งานแล้ว [18]. อย่างไรก็ตาม SMEs อีกจำนวนมากยังขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับ AI ต้นทุน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง [12].
โอกาสสำหรับ SMEs:
- การเข้าถึงเทคโนโลยีที่ง่ายขึ้น: โมเดลภาษาขนาดเล็ก (SLMs) และแพลตฟอร์ม AI แบบ Open-source ช่วยลดต้นทุนและทำให้ SMEs สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น [3, 14].
- การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: AI สามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน, เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการตลาด, การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และการจัดการสต็อกสินค้า [3, 12].
- การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน: การนำ AI มาใช้จะช่วยให้ SMEs สามารถสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ปรับปรุงกลยุทธ์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อตลาดได้ดีขึ้น [12].
ความท้าทายสำหรับ SMEs:
- การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ: SMEs จำนวนมากยังขาดพนักงานที่มีทักษะด้าน AI [18].
- ความเข้าใจในต้นทุนและความเสี่ยง: SMEs บางส่วนยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการลงทุนและความเสี่ยงในการนำ AI มาใช้ [12].
- วัฒนธรรมองค์กร: การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะในธุรกิจครอบครัว [15].
ก้าวต่อไป: การนำ AI สู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้
ในปี 2025 ธุรกิจไทยไม่ควรมอง AI เป็นเพียงการทดลอง แต่ควรเปลี่ยนไปสู่การนำ AI มาสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้จริง (ROI) [14]. การเลือกใช้โมเดล AI ที่เหมาะสมกับแต่ละกรณีการใช้งาน รวมถึงการคำนึงถึงต้นทุน ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ.
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังมุ่งมั่นสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน ธุรกิจไทยทุกขนาด ทุกภาคส่วน ควรเร่งศึกษาและนำ AI มาปรับใช้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้ทัดเทียมระดับโลก.