ภัยไซเบอร์ปี 2025: AI ก้าวล้ำ ดาต้าปลอดภัย หรือจะตกเป็นเหยื่อ?

ภัยไซเบอร์ปี 2025: AI ก้าวล้ำ ดาต้าปลอดภัย หรือจะตกเป็นเหยื่อ?

เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อนในปี 2025 ชี้ AI คือดาบสองคม ทั้งเป็นเครื่องมือป้องกันและสร้างอาชญากรรมรูปแบบใหม่ พร้อมอัปเดตกฎหมาย cybersecurity ล่าสุดในไทย

ภัยไซเบอร์ปี 2025: AI คือดาบสองคมที่ต้องระวัง


โลกกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2025 และภูมิทัศน์ของภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น จากรายงานของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ชี้ให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนทั้งการป้องกันและการโจมตีทางไซเบอร์ ในขณะที่ AI สามารถยกระดับการตรวจจับภัยคุกคามและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ไม่หวังดีก็ใช้ AI ในการสร้างการโจมตีที่ซับซ้อนและพุ่งเป้าหมายมากขึ้นเช่นกัน

AI: เครื่องมือป้องกันและสร้างภัยคุกคาม

ในฝั่งของการป้องกัน AI ถูกนำมาใช้เพื่อการตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูง การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติ การป้องกันฟิชชิ่ง และการบริหารจัดการตัวตน นอกจากนี้ ในปี 2024 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการพัฒนา AI agents อย่างก้าวกระโดด ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่ระบบ Multi-Agent Systems ในปี 2025 ซึ่งกลุ่มของ AI agents จะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม การพัฒนานี้ก็สร้างความท้าทายใหม่ๆ ด้านความปลอดภัย เช่น ช่องทางการโจมตีใหม่ๆ และการโจมตีแบบ 'Data Poisoning' หรือ 'Prompt Injection'

ในทางกลับกัน อาชญากรไซเบอร์ก็ใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มที่ พวกเขาสามารถใช้ AI ในการสร้างอีเมลฟิชชิ่งที่แนบเนียนจนแยกไม่ออกจากการสื่อสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือแม้กระทั่งสร้างมัลแวร์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับการโจมตีได้แบบเรียลไทม์ ผลกระทบทางการเงินจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้ AI คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้น โดยในปี 2024 มีการประมาณการความเสียหายทั่วโลกอยู่ที่ 10,000 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสองเท่าของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ในการสร้าง 'Deepfakes' ที่สมจริงเพื่อหลอกลวง หรือสร้างข้อมูลเท็จเพื่อเผยแพร่ความเข้าใจผิด

เทรนด์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่น่าจับตาในปี 2025

นอกเหนือจาก AI แล้ว ยังมีเทรนด์อื่นๆ ที่น่าจับตามองในปี 2025:

  • การโจมตีระบบคลาวด์ (Attacks Against Cloud Services): แม้ว่าการย้ายไปสู่ระบบคลาวด์จะมอบความยืดหยุ่น แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากการมองเห็นและควบคุมที่ลดลง การตั้งค่าคลาวด์ที่ไม่ถูกต้อง และแอปพลิเคชันคลาวด์ที่เปราะบาง
  • อุปกรณ์ IoT ที่เพิ่มขึ้น (Rise in IoT Devices): การขยายตัวของ Internet of Things (IoT) สร้างโอกาสให้เกิดอาชญากรรมไซเบอร์มากขึ้น
  • การโจมตีแบบ Ransomware ที่ซับซ้อนขึ้น: Ransomware ยังคงเป็นภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าการโจมตีจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นในปี 2025
  • การโจมตีแบบ Supply Chain Attacks: การโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่ห่วงโซ่อุปทานของซอฟต์แวร์และบริการเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่สำคัญ
  • ความท้าทายด้านกฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Regulatory and Compliance Challenges): กฎหมายและข้อบังคับด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทย

ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างยิ่งยวด โดยมีการออกกฎหมายและมาตรการใหม่ๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

  • กฎหมายไซเบอร์ฉบับใหม่: ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2025 เป็นต้นไป องค์กรโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญ (Critical Information Infrastructure Operators - CIIOs) จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นต่ำที่กำหนด รวมถึงการประเมินความเสี่ยงของระบบข้อมูล โดยพิจารณาจากความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องสมบูรณ์ (Integrity) และความพร้อมใช้งาน (Availability)
  • การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี: พระราชกฤษฎีกา กำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้เพิ่มอำนาจให้หน่วยงานรัฐในการตรวจสอบ ระงับธุรกรรม และเผยแพร่ข้อมูลผู้กระทำผิด รวมถึงกำหนดความผิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในทางที่ผิด
  • การรณรงค์สร้างความตระหนัก: หน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ AIS ได้ร่วมมือกันจัดแคมเปญเพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะการให้ความรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ เช่น ฟิชชิ่ง แรนซัมแวร์ และการหลอกลวงทางสังคม

คำเตือน: การพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI ทำให้ทั้งผู้โจมตีและผู้ป้องกันมีเครื่องมือที่ทรงพลังมากขึ้น การละเลยการอัปเดตระบบ การขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ และการไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงอย่างร้ายแรง

วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือ: การหมั่นอัปเดตซอฟต์แวร์ ใช้รหัสผ่านที่คาดเดายากและเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication - MFA) และที่สำคัญที่สุดคือการไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินให้กับบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ รวมถึงการระมัดระวังในการคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่รู้จัก