ภัยคุกคามไซเบอร์ปี 2025: AI และเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรง สร้างความท้าทายใหม่ให้ประเทศไทย

ภัยคุกคามไซเบอร์ปี 2025: AI และเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรง สร้างความท้าทายใหม่ให้ประเทศไทย

ปี 2025 เป็นปีที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ในไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะภัยที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการโจมตี พร้อมกับความเสี่ยงจาก IoT และ Cloud บทความนี้เจาะลึกถึงแนวโน้ม และแนวทางการป้องกันที่ธุรกิจควรทราบเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้

เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน
ภูมิทัศน์ดิจิทัลในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และพร้อมกันนั้น ภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็ทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2025 การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น และการเตรียมพร้อมด้วยความรู้ที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งธุรกิจและบุคคลทั่วไป จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) พบว่ามีเหตุการณ์การโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 1,000 ครั้ง ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมของปีนี้เพียงอย่างเดียว [2] ในระดับโลก ความเสียหายจากอาชญากรรมทางไซเบอร์คาดว่าจะสูงเกิน 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงภัยคุกคามที่แพร่หลายนี้ [2]

คำเตือน: การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้นำมาซึ่งยุคใหม่ของภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างแท้จริง ขณะนี้ผู้ประสงค์ร้ายกำลังใช้ AI เพื่อการโจมตีอัตโนมัติ สร้างการหลอกลวงแบบฟิชชิงที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น มัลแวร์ที่ปรับตัวได้ และการปฏิบัติการที่ควบคุมโดยบอท [2, 5] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Generative AI กำลังถูกนำมาใช้เพื่อสร้างตัวตนและเนื้อหาปลอมที่สมจริงอย่างยิ่ง ทำให้ยากต่อการแยกแยะระหว่างการสื่อสารที่ถูกต้องตามกฎหมายและการหลอกลวง [2]

AI: ดาบสองคมในโลกไซเบอร์


AI ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือของแฮกเกอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกการป้องกันที่สำคัญอีกด้วย [2] ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 เครื่องมือด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ประมาณ 90% จะมีการนำ AI มาใช้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง [3] นั่นหมายความว่า เพื่อที่จะต่อกรกับการโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วย AI เราจำเป็นต้องมีระบบป้องกันที่เสริมด้วย AI ซึ่งรวมถึงการตรวจจับภัยคุกคามอัตโนมัติ และระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI [2] ความท้าทายอยู่ที่การก้าวให้ทันภัยคุกคามที่กำลังพัฒนาเหล่านี้

แนวโน้มความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สำคัญสำหรับปี 2025 ในประเทศไทย:


  • การโจมตีและระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI: ดังที่กล่าวไป AI เป็นปัจจัยสำคัญ คาดการณ์ได้เลยว่าการฟิชชิงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น มัลแวร์ที่ปรับตัวได้ และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ AI จะเพิ่มสูงขึ้น [2, 5] ซึ่งจะนำไปสู่ความจำเป็นในการใช้ระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI [2, 5]
  • ช่องโหว่ที่เพิ่มขึ้นจาก IoT และ Cloud: การนำ Internet of Things (IoT) และ Cloud Computing มาใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย เป็นการขยายพื้นผิวการโจมตี (attack surface) ซึ่งเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์มากขึ้น [4] อุปกรณ์ IoT จำนวนมากขาดคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ทำให้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย [11]
  • ความเสี่ยงจากการทำงานทางไกล: เทรนด์การทำงานทางไกลยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย การที่พนักงานเชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรผ่านอุปกรณ์ส่วนตัวที่อาจไม่ปลอดภัยเพียงพอ ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ [4]
  • การโจมตี Supply Chain: Supply chain ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ แฮกเกอร์เพียงรายเดียวที่สามารถเจาะระบบผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง ก็สามารถเป็นช่องทางในการเข้าถึงเครือข่ายขององค์กรได้ [2]
  • Deepfakes และ Synthetic Media: การใช้ deepfakes และ synthetic media ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้จำเป็นต้องมีเครื่องมือตรวจจับใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและการฉ้อโกง [5]
  • สถาปัตยกรรม Zero Trust: เมื่อภัยคุกคามพัฒนาไป สถาปัตยกรรม Zero Trust ที่เน้นการตรวจสอบการเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าทางเลือก [2]

ตลาดงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เติบโตและช่องว่างทางทักษะ


ตลาดงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 9.27% [3] อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีทักษะ [3, 4] องค์กรจำนวนมาก โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ขาดความตระหนักถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และไม่สามารถเข้าถึงบริการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงได้ [13] การแก้ไขปัญหาช่องว่างทางทักษะนี้ผ่านการฝึกอบรมและพัฒนา จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ของประเทศ [3, 4]

สิ่งที่ธุรกิจควรทำ:


วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือ: การลงทุนในมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง และให้ความรู้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

  • ใช้ระบบป้องกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI: นำระบบตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้เพื่อต่อกรกับการโจมตีที่ซับซ้อน [2, 5]
  • เสริมความแข็งแกร่งของการยืนยันตัวตน: ก้าวข้ามรหัสผ่านแบบเดิมๆ เปิดรับการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication) และพิจารณาทางเลือกแบบไม่ต้องใช้รหัสผ่าน เช่น Biometrics โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวด้วย [2, 5, 11]
  • รักษาความปลอดภัย Supply Chain: ตรวจสอบผู้ให้บริการภายนอกอย่างเข้มงวด และให้แน่ใจว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด [2]
  • ฝึกอบรมพนักงาน: การฝึกอบรมด้านความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ พนักงานมักเป็นแนวป้องกันด่านแรก และข้อผิดพลาดจากมนุษย์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการรั่วไหลของข้อมูล [4, 8] ให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับการจดจำการหลอกลวงแบบฟิชชิง และอันตรายจากการใช้เครื่องมือ AI ที่ไม่ได้จัดการ [6]
  • ใช้ Zero Trust: เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust เพื่อลดผลกระทบจากการละเมิดข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น โดยการบังคับใช้การควบคุมการเข้าถึงที่เข้มงวด [2]

คำแนะนำที่นำไปปฏิบัติได้:

ให้ตื่นตัวและมีความคิดริเริ่มอยู่เสมอ อัปเดตซอฟต์แวร์ของคุณอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบเครือข่ายของคุณหากมีกิจกรรมที่น่าสงสัย และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยภายในองค์กรของคุณ การต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นสิ่งที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญในการรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัล