เทคโนโลยี • ธุรกิจ • ความปลอดภัยทางไซเบอร์
วิกฤตการณ์ไซเบอร์ในไทย: การโจมตีพุ่งสูง 70% ทั่วโลก ภัยคุกคาม AI และข้อมูลรั่วไหลที่น่ากังวล
ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างรุนแรง โดยมีการโจมตีสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 70% ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาเทคนิคของอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้ AI ในการสร้างฟิชชิงที่แนบเนียน มัลแวร์ที่ปรับเปลี่ยนได้ และการโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่ข้อมูลสำคัญ นอกจากนี้ การใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ยังเป็นช่องทางหลักที่นำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลจำนวนมหาศาล บทความนี้จะเจาะลึกถึงภัยคุกคามเหล่านี้ กลยุทธ์การป้องกัน และความสำคัญของการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
วิกฤตการณ์ไซเบอร์ในไทย: การโจมตีพุ่งสูง 70% ทั่วโลก ภัยคุกคาม AI และข้อมูลรั่วไหลที่น่ากังวล
สถานการณ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก จากข้อมูลล่าสุด การโจมตีทางไซเบอร์ในประเทศมีอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 70% [11, 13] ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและสร้างความตระหนักรู้ให้กับทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นดาบสองคมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอาชญากรไซเบอร์ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและแนบเนียนยิ่งขึ้น
ภัยคุกคามจาก AI และกลโกงที่ซับซ้อน
หนึ่งในแนวโน้มที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI ในการก่ออาชญากรรมไซเบอร์ ผู้โจมตีใช้ AI เพื่อยกระดับการโจมตีให้เป็นระบบอัตโนมัติ สร้างการโจมตีแบบฟิชชิง (Phishing) ที่แนบเนียนด้วยเสียง Deepfake และเนื้อหาที่สร้างจาก AI รวมถึงการพัฒนา Malware ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ [4, 5, 6] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีทางการเงิน (Financial Phishing) ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก โดยมุ่งเป้าไปที่ธนาคาร ระบบการชำระเงิน และร้านค้าออนไลน์ ด้วยการสร้างเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ เพื่อหลอกลวงเอาข้อมูลทางการเงิน [5, 15, 24] ประเทศไทยเผชิญกับการสื่อสารหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2024 ตรวจพบการหลอกลวงผ่านการโทรและ SMS มากกว่า 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นถึง 112% จากปีก่อนหน้า [25]
การรั่วไหลของข้อมูลและช่องโหว่ที่น่ากังวล
การรั่วไหลของข้อมูล (Data Leak) เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ประเทศไทยประสบเหตุการณ์ทางไซเบอร์มากกว่า 1,000 ครั้ง โดยกว่า 63% ขององค์กรได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของข้อมูล [4] มีรายงานการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้และรหัสผ่านจำนวนมหาศาลถึง 5 ล้านรายการ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากการใช้งานซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ (Pirated Software) ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ซอฟต์แวร์เหล่านี้เป็นช่องทางสำคัญที่เปิดประตูสู่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ [3]
การโจมตีด้วย Ransomware ที่เพิ่มสูงขึ้น
การโจมตีด้วย Ransomware ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็น 6% ของการโจมตีทางไซเบอร์ทั้งหมดในประเทศไทย เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 4% [5] องค์กรต่างๆ ประสบปัญหาจากการถูกโจมตีด้วย Ransomware มากขึ้น โดย 52% ยอมรับว่ามีการจ่ายค่าไถ่ [4] และคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีกลุ่มอาชญากร Ransomware ใหม่ๆ ที่มีความก้าวร้าวเกิดขึ้นและสร้างความปั่นป่วนต่อการดำเนินงาน [18]
ความพยายามด้านกฎระเบียบและการเตรียมความพร้อมของภาคธุรกิจ
เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยกำลังเร่งยกระดับมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยมีการบังคับใช้ PDPA อย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้องค์กรต่างๆ รับผิดชอบต่อความบกพร่องด้านความปลอดภัยของข้อมูล [7, 10, 19] นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการปรับปรุงความปลอดภัยทางไซเบอร์ผ่านโครงการต่างๆ เช่น นโยบายและแผนการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (พ.ศ. 2566–2570) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี [25, 26]
สำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง (SMEs) การมีมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก SMEs มักมีความเปราะบางมากกว่าเนื่องจากขาดทีม IT Security ที่เชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม [9] มาตรการป้องกันที่สำคัญ ได้แก่ การใช้งานการยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (MFA), การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ, การรักษาความปลอดภัยการเชื่อมต่อ Wi-Fi, การใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก และการให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ [9, 12, 20] การลงทุนในแพลตฟอร์มความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีความสามารถในการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์, การตรวจจับความผิดปกติด้วย AI/ML และโมดูลการปฏิบัติตามกฎระเบียบ PDPA ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน [21]
สถานการณ์นี้ตอกย้ำความจำเป็นในการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและการปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
คำเตือน: การใช้งานซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงต่อข้อมูลและระบบขององค์กร
วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือ: อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ และหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดหรือติดตั้งโปรแกรมจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
Actionable Tip: หมั่นตรวจสอบและอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่บนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพา รวมถึงระบบปฏิบัติการ และติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่อัปเดตฐานข้อมูลอยู่เสมอ