Thailand's Green Leap Forward: Businesses Embrace Sustainability for a Resilient Future

Thailand's Green Leap Forward: Businesses Embrace Sustainability for a Resilient Future

Thailand is rapidly advancing its commitment to a green economy and sustainability, with businesses increasingly integrating ESG principles. Driven by new regulations, investor expectations, and consumer demand, companies are adopting eco-friendly practices, renewable energy, and circular economy models. The Stock Exchange of Thailand is actively promoting sustainable capital markets, and leading companies are implementing significant CSR initiatives. This focus on sustainability is not only crucial for environmental protection but also offers a competitive advantage and ensures long-term business resilience.

Thailand's Green Leap Forward: Businesses Embrace Sustainability for a Resilient Future

ประเทศไทยกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืน โดยภาคธุรกิจต่างๆ ได้นำหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) มาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ขององค์กรมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงผลักดันจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ ความคาดหวังของนักลงทุน และความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียน โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [8, 15].

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยฉลองครบรอบ 50 ปี ด้วยการเปิดตัวแผนกลยุทธ์ใหม่เพื่อสนับสนุนตลาดทุนที่ยั่งยืนและครอบคลุม [5]. ความพยายามของ SET รวมถึงการปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูล ESG ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น ESG Data Platform และ SET Carbon รวมถึงการปรับอัตรา ESG ให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานระดับโลก เช่น FTSE Russell [5]. ณ ปี 2568 บริษัทจดทะเบียน 224 แห่งมี SET ESG Ratings ครอบคลุม 82% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และบริษัทไทยได้รับการยอมรับในดัชนี ESG ระดับโลกมากขึ้น [5].

บริษัทไทยหลายแห่งเป็นผู้นำในการริเริ่มด้าน CSR และความยั่งยืนที่สำคัญ เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) ที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศด้านสิ่งแวดล้อมด้วยโซลูชันอาคารสีเขียว (Green Building Solutions) [3]. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) มีส่วนร่วมในโครงการด้านสุขภาพชุมชนและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการฟื้นฟูป่าระยอง [3]. กลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CP Group) ส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืนผ่านโปรแกรมเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทะเลและการจัดหาอาหารทะเลที่ยั่งยืนผ่านกลยุทธ์ SeaChange® [3]. บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) นำแนวทางแบบองค์รวมมาใช้กับความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ผู้คน ห่วงโซ่คุณค่า และสิ่งแวดล้อม [3].

รัฐบาลไทยกำลังเร่งรัดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมให้เข้มแข็งขึ้น ทำให้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมกลายเป็นทั้งความจำเป็นทางกฎหมายและข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ [6]. ประเทศไทยมีเป้าหมายภายใต้ Nationally Determined Contributions (NDCs) ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30-40% ภายในปี 2573 โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2578 [6]. ความมุ่งมั่นนี้แสดงให้เห็นเพิ่มเติมโดยแผนการนำภาษีคาร์บอนมาใช้ในปี 2568 โดยเป็นประเทศที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากสิงคโปร์ [10]. นอกจากนี้ยังมีมาตรการด้านกฎหมายเพื่อควบคุมมลพิษ การจัดการของเสีย และส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน เช่น การสั่งห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2568 [9].

ภาคการเงินก็สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างแข็งขัน การเงินที่ยั่งยืนกำลังพัฒนา โดยมุ่งเน้นที่ความโปร่งใสและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการเปิดเผยข้อมูล ESG การวางแผนการเปลี่ยนผ่าน และการต่อต้านการกล่าวอ้างเกินจริงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (anti-greenwashing) [11]. การออกพันธบัตรสีเขียวและพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกำลังได้รับความนิยม โดยบริษัทไทยได้ออกพันธบัตรสีเขียวมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 เพื่อสนับสนุนโครงการที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม [6].

ภาคธุรกิจในประเทศไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญ โดยบริษัทส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อรูปแบบธุรกิจภายในปี 2593 [10]. เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้และคว้าโอกาสทางธุรกิจ บริษัทต่างๆ กำลังทำให้ความยั่งยืนเป็นเป้าหมายสำคัญทางธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบูรณาการแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์หลัก การเพิ่มความรับผิดชอบ และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยธุรกิจต่างๆ [14]. บริษัทที่นำด้านความยั่งยืนกำลังวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นผู้นำตลาด ดึงดูดการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น และสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย [6, 14].

ภาคการท่องเที่ยวก็กำลังนำแนวทางความยั่งยืนมาใช้เช่นกัน โดยหน่วยงานเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (DASTA) ได้รับรางวัล Grand Award for Sustainability & Social Responsibility ในงาน PATA Gold Awards 2025 จากโครงการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมโดยชุมชน [16].

ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากโครงการริเริ่มต่างๆ ตั้งแต่โครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น สวนลอยฟ้าไฮโดรโซลาร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เขื่อนสิรินธร ไปจนถึงการพัฒนาไฮโดรเจนสีเขียวและการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า [8, 15]. ประเทศไทยยังมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีแผนงานจัดการขยะพลาสติกเพื่อเปลี่ยนไปสู่พลาสติกที่รีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2570 [8, 15].

การบูรณาการหลักการ ESG และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่กิจกรรมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) อีกต่อไป แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อการเติบโตและความยืดหยุ่นในระยะยาวในประเทศไทย

---

มองไปข้างหน้า ประเทศไทยพร้อมที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน การปรับปรุงกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง การยอมรับหลักการ ESG ที่เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจ และความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ล้วนส่งสัญญาณถึงอนาคตที่สดใสสำหรับธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม ความมุ่งมั่นของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจสีเขียว จะเป็นแรงผลักดันนวัตกรรมและสร้างโอกาสใหม่ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งจะนำไปสู่อนาคตของประเทศไทยที่ยืดหยุ่นและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น