เทคโนโลยี • ธุรกิจ
ไทยเผชิญวิกฤตการณ์ไซเบอร์: ภัยคุกคาม AI และฟิชชิ่งพุ่งสูง สู่ปี 2025
รายงานชี้ไทยเผชิญภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025 โดยเฉพาะการโจมตีผ่าน AI และฟิชชิ่งที่ซับซ้อนขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ต้องยกระดับการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์.
ไทยเผชิญวิกฤตการณ์ไซเบอร์: ภัยคุกคาม AI และฟิชชิ่งพุ่งสูง สู่ปี 2025
คำเตือน: ประเทศไทยกำลังเผชิญกับคลื่นภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 การโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกลอุบายฟิชชิ่งที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป. รายงานล่าสุดจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ชี้ให้เห็นถึงจำนวนเหตุการณ์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งจำเป็นต้องมีการยกระดับมาตรการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง
AI เครื่องมือสองคมของอาชญากรไซเบอร์
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของอาชญากรไซเบอร์ในการยกระดับการโจมตีให้มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น. AI ถูกนำมาใช้ในการสร้างข้อมูลปลอมที่สมจริง เช่น Deepfakes ทั้งในรูปแบบเสียงและวิดีโอ เพื่อหลอกลวงและสร้างความเสียหาย. นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้ผู้โจมตีสามารถสแกนหาช่องโหว่ของระบบได้อย่างรวดเร็ว และสร้างข้อความฟิชชิ่งที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล ทำให้ยากต่อการตรวจจับ. รายงานระบุว่า การโจมตีที่ใช้ AI ในการสร้างความเสียหายมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโจมตีแบบ Credential Stuffing และ DDoS ที่ถูกควบคุมโดยบอทที่ใช้ AI มีจำนวนมากถึง 94% ของการพยายามเข้าสู่ระบบโดยใช้ข้อมูลประจำตัวที่ถูกขโมย.
ฟิชชิ่งระบาดหนัก: หลอกลวงผ่านทุกช่องทาง
ฟิชชิ่งยังคงเป็นภัยคุกคามหลักที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเงิน. อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้กลอุบายที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยปลอมแปลงเป็นบริษัทขนส่ง ร้านค้าออนไลน์ และระบบการชำระเงิน เพื่อหลอกลวงผู้ใช้งานให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล. ประเทศไทยเผชิญกับจำนวนการโจมตีฟิชชิ่งมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีการโจมตีธุรกิจกว่า 240,000 ครั้งในปี 2024. นอกจากนี้ การฟิชชิ่งผ่าน SMS (Smishing) และการโทรศัพท์ (Vishing) ก็กำลังแพร่หลายเช่นกัน โดยผู้โจมตีมักอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐหรือสถาบันการเงิน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกลวงเอาข้อมูล.
แรนซัมแวร์ยังคงคุกคามโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
ภัยคุกคามแรนซัมแวร์ยังคงเป็นปัญหาที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ. กลุ่มอาชญากรไซเบอร์ทั้งจากรัฐและการแสวงหาผลกำไร กำลังให้ความสนใจกับองค์กรต่างๆ ในไทยมากขึ้น เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่กำลังเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก. ภาคส่วนที่ตกเป็นเป้าหมายหลัก ได้แก่ พลังงาน ยานยนต์ การผลิต การดูแลสุขภาพ และบริการผู้บริโภค. เหตุการณ์โจมตีแรนซัมแวร์ต่อ DHL Thailand เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่เกี่ยวข้องกับการขโมยข้อมูลและใช้มัลแวร์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยของบุคคลที่สามและรูปแบบ Ransomware-as-a-Service (RaaS).
สถิติที่น่าตกใจและแนวโน้มที่ต้องเฝ้าระวัง
จากข้อมูลของ National Cyber Security Agency (NCSA) พบว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 มีเหตุการณ์ไซเบอร์เกิดขึ้นมากกว่า 1,002 เหตุการณ์. นอกจากนี้ องค์กรกว่า 63% ในไทยประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหล และ 52% ยอมรับว่าต้องจ่ายค่าไถ่. การโจมตีทางไซเบอร์ในไทยเฉลี่ยต่อสัปดาห์สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 70%. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโจมตีที่เกี่ยวข้องกับฟิชชิ่งและมัลแวร์ธนาคารมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ.
วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุดคือ: การเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้กับตนเองและคนในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ การอัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ การใช้รหัสผ่านที่คาดเดายากและไม่ซ้ำกัน รวมถึงการเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-factor Authentication) จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก.
Actionable Tip: หมั่นตรวจสอบและอัปเดตซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์ทุกชิ้นของคุณอย่างสม่ำเสมอ และใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่น่าเชื่อถือ รวมถึงเปิดการแจ้งเตือนการอัปเดตความปลอดภัยเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณได้รับการปกป้องจากช่องโหว่ล่าสุด