เทรนด์ E-commerce ไทย 2025: Social Commerce และ AI กุญแจสำคัญสู่การเติบโต

เทรนด์ E-commerce ไทย 2025: Social Commerce และ AI กุญแจสำคัญสู่การเติบโต

เจาะลึกเทรนด์ E-commerce ไทยปี 2025 ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้ก้าวนำคู่แข่ง ด้วยพลังของ Social Commerce, AI, Live Commerce และ Personalization พร้อมเคล็ดลับการปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

เทรนด์ E-commerce ไทย 2025: Social Commerce และ AI กุญแจสำคัญสู่การเติบโต


โลก E-commerce กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และปี 2025 ก็เป็นปีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และปัจจัยอื่นๆ ส่งผลให้ธุรกิจ E-commerce ต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 5 เทรนด์ E-commerce ที่สำคัญที่สุดในปี 2025 ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดเตรียมความพร้อมสู่อนาคตของอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

1. การก้าวขึ้นมาของ Social Commerce


Social Commerce คือ การค้าขายสินค้าหรือบริการผ่านโซเชียลมีเดียโดยตรง โดยทุกขั้นตอนการซื้อขายเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด ตั้งแต่การค้นหาสินค้า การหาข้อมูล ไปจนถึงการปิดการขาย [2, 4]. เทรนด์นี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา [4] และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของ E-commerce ไทยในปี 2025 [6]. จุดแข็งของ Social Commerce คือความสะดวกสบายที่ผู้บริโภคสามารถเรียนรู้และซื้อสินค้าได้ในที่เดียว ลดขั้นตอนการซื้อขายให้สั้นและกระชับ [4]. การขายผ่านโซเชียลมีเดียยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า ลดขั้นตอนการซื้อขายให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ [9].

เคล็ดลับสำหรับผู้ขายคือ: การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ ควรสร้างเนื้อหาและแคมเปญที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย [4, 9] และสื่อสารอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อให้แบรนด์เป็นที่จดจำ [4].

2. AI: ตัวขับเคลื่อนประสบการณ์ลูกค้าและประสิทธิภาพการดำเนินงาน


ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการ E-commerce ทั่วโลก โดยเฉพาะ Generative AI (GenAI) และเทคโนโลยี AI อื่นๆ ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้ง เพิ่มความแม่นยำในการแนะนำสินค้า และเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจ [11, 12]. AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำไปปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาด [14], ทำให้ประสบการณ์การช็อปปิ้งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ปรับปรุง และปรับแต่ง [12]. ตัวอย่างการใช้งาน AI ใน E-commerce ได้แก่ การแนะนำสินค้าส่วนบุคคล (Personalized Recommendation) [11, 13, 15], การใช้ Chatbot เพื่อตอบคำถามลูกค้าและให้บริการอัตโนมัติ [15], การตรวจจับธุรกรรมฉ้อโกง [12], และการจัดการสินค้าคงคลัง [12].

เคล็ดลับสำหรับผู้ขายคือ: การนำ AI มาใช้จะช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เฉพาะตัวและน่าประทับใจมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าและตอบสนองความต้องการได้อย่างแม่นยำ [18]. ควรพิจารณาการใช้ AI Agent เช่น Chatbot เพื่อตอบคำถามทั่วไปและแนะนำสินค้าที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน [15].

3. Live Commerce: การขายที่สร้างการมีส่วนร่วมแบบเรียลไทม์


Live Commerce หรือการไลฟ์ขายของออนไลน์ กำลังกลายเป็นช่องทางการขายที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง [7, 28, 34]. เป็นการผสมผสานระหว่างการเผยแพร่วิดีโอแบบเรียลไทม์เข้ากับการซื้อขายออนไลน์ [28]. จุดเด่นของ Live Commerce คือการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมได้โดยตรง ทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์และสามารถสอบถามข้อมูลสินค้าได้ทันที [28, 32]. นอกจากนี้ การไลฟ์สดในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการขายของเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชม [35].

เคล็ดลับสำหรับผู้ขายคือ: การเตรียมฉากหลังให้สวยงาม [28], สร้างจุดเด่นหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว [28], ทักทายลูกค้าเป็นประจำ [28], และจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้ชม [28]. การเลือกเวลาไลฟ์ที่เหมาะสมและมีอินเทอร์เน็ตที่เสถียรก็เป็นปัจจัยสำคัญ [28].

4. Personalization: สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล


Personalization หรือการปรับแต่งประสบการณ์ให้เข้ากับลูกค้าแต่ละบุคคล กลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างลูกค้าประจำ [13]. การนำเสนอสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจและความต้องการของลูกค้าแต่ละคน จะช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ [13, 18, 39, 40]. ผลการศึกษาพบว่ากว่า 80% ของผู้ที่ระบุว่าเป็นนักช้อปบ่อยๆ จะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ทำ Personalization [13]. แพลตฟอร์ม E-commerce หลายแห่งใช้ Personalization ในรูปแบบของการแนะนำสินค้าที่ลูกค้าอาจสนใจ หรือการนำเสนอข้อเสนอที่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้า [13, 40].

เคล็ดลับสำหรับผู้ขายคือ: เริ่มต้นจากการสำรวจข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ เช่น ประวัติการซื้อ หรือสินค้าที่ลูกค้าเคยดู เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าเบื้องต้น [40]. การใช้เครื่องมือที่มีอยู่ เช่น แอปพลิเคชันบน Shopify หรือ WooCommerce เพื่อเริ่มทำ Personalization เช่น การแนะนำสินค้าอัตโนมัติ หรือระบบส่งอีเมลทวงตะกร้าสินค้า [40].

5. Omnichannel: การเชื่อมโยงทุกช่องทางการขาย


Omnichannel คือ รูปแบบการทำการตลาดและการขายที่รวมช่องทางการติดต่อสื่อสารเข้าไว้ในที่เดียว ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยข้อมูลของลูกค้าจากแต่ละช่องทางจะถูกรวมเก็บไว้ด้วยกัน เพื่อให้ธุรกิจเห็นภาพรวมการซื้อ-ขาย เข้าใจลูกค้า และสามารถอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าและให้ความช่วยเหลือได้อย่างครบวงจร [5, 10, 27, 38]. การทำ Omnichannel ช่วยสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบองค์รวมให้กับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ [5].

เคล็ดลับสำหรับผู้ขายคือ: การเชื่อมต่อทุกช่องทางที่ลูกค้าอยู่และลูกค้าสะดวก [27], ซิงค์ข้อมูลทุกช่องทางเข้าด้วยกัน [27], เพื่อมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีกว่า [27] และจัดเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อนำไปใช้งาน [27].

ภาพรวมตลาด E-commerce ไทย


ตลาด E-commerce ในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค โดยมีมูลค่า 9.8 แสนล้านบาท ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตถึง 14% ไปจนถึงปี 2027 [7]. ในปี 2025 คาดการณ์ว่าตลาด E-commerce ในประเทศไทยจะมีมูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท [8]. แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ได้แก่ Marketplace (Shopee, Lazada, TikTok) [8], Video Commerce (TikTok, Facebook, YouTube, Instagram) [8], และ Chat Commerce & Social Commerce (Facebook, Instagram, X, LINE, Messenger) [8].

Checklist สำหรับผู้ประกอบการ:

  • [ ] วิเคราะห์และเลือกใช้ช่องทางการขายที่เหมาะสมกับธุรกิจและกลุ่มเป้าหมาย
  • [ ] นำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและปรับปรุงประสบการณ์การซื้อขาย
  • [ ] ทดลองใช้ Live Commerce เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และเพิ่มยอดขาย
  • [ ] นำกลยุทธ์ Personalization มาใช้เพื่อสร้างความผูกพันและเพิ่ม Loyalty
  • [ ] พิจารณาการทำ Omnichannel เพื่อมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ไร้รอยต่อในทุกช่องทาง
  • [ ] ติดตามเทรนด์การตลาดออนไลน์ใหม่ๆ และปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด