AI พลิกโฉมธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน: โอกาสและทิศทางสู่อนาคต

AI พลิกโฉมธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน: โอกาสและทิศทางสู่อนาคต

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย ESG การนำ AI มาปรับใช้อย่างเหมาะสมช่วยสร้างนวัตกรรมและความยั่งยืนระยะยาว โดยมีบริษัทไทยหลายแห่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการใช้ AI เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

AI พลิกโฉมธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน: โอกาสและทิศทางสู่อนาคต


ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) มากขึ้น ประเทศไทยเองก็เช่นกัน โดยรัฐบาลและภาคเอกชนกำลังเร่งผลักดันการพัฒนาสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI [13, 18, 19].

AI: มากกว่าแค่ประสิทธิภาพ คือพลังแห่งความยั่งยืน


AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือลดต้นทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์เป้าหมายด้านความยั่งยืนอีกด้วย การประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจสามารถช่วยยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การคาดการณ์แนวโน้มการใช้พลังงานเพื่อลดการสูญเสีย หรือแม้กระทั่งการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาแนวทางการผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด [18, 15].

#### ตัวอย่างความสำเร็จของ AI ในธุรกิจไทย

หลายองค์กรในประเทศไทยได้เริ่มนำ AI มาปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ ESG แล้ว เช่น:

  • SCGC (ปูนซิเมนต์ไทย): ได้พัฒนาระบบ "AI Supervisory" เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานปิโตรเคมี ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลง 17 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1,600 ตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 160,000 ต้น [13].
  • WHA Group: ใช้ AI ในการบริหารจัดการระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ติดตามประสิทธิภาพของแผงโซลาร์เซลล์ และพัฒนาระบบ "Green Logistics" ที่ใช้ AI วางแผนเส้นทางการขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดต้นทุนและลดการปล่อยมลพิษ [13].
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.): นำ AI มาใช้ในการคาดการณ์ผลผลิตพลังงานหมุนเวียน การทำนายความเสียหายของอุปกรณ์ในโรงไฟฟ้าและเขื่อน และการพัฒนาระบบ "Grid Modernization" เพื่อรักษาเสถียรภาพการจ่ายไฟฟ้าและรองรับการเชื่อมต่อพลังงานหมุนเวียนในสัดส่วนที่สูง [13].

ทิศทางและโอกาสของ AI เพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย


ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการนำ AI มาใช้เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ (PDP2024) ที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 51% ภายในปี 2037 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและความยั่งยืนในระยะยาว [13]. นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสีเขียว เช่น Green Data Centers โดยมีโครงการศูนย์ข้อมูลกว่า 47 โครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาสู่ "Green AI" [13].

นอกจากนี้ การออกมาตรการต่างๆ เช่น การใช้ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ในปี 2025 ซึ่งตั้งเป้าให้เป็นรายได้ที่นำกลับมาใช้เพื่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหันมาลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวมากขึ้น [8]. แนวโน้มเหล่านี้บ่งชี้ว่า AI และเทคโนโลยีสีเขียวจะเป็นสองเสาหลักสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก [19, 20].

ก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

การผนวก AI เข้ากับแนวคิดการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ และสร้างอนาคตที่สมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การลงทุนใน AI เพื่อความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศชาติ